TED2007
VS Ramachandran: 3 clues to understanding your brain
วิลยนูร สุพรหมัณยัม รามจันทรัน (VS Ramachandran): 3 เงื่อนงำเพื่อไขความลับสมองของคุณ
Filmed:
Readability: 4.3
5,019,899 views
วิลยนูร รามจันทรัน เล่าให้เราฟังว่าการบาดเจ็บทางสมองสามารถเผยให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างเนื้อเยื่อสมองและจิตใจได้ โดยใช้สามกรณีของอาการประสาทหลอนอันน่าตื่นตาตื่นใจเป็นตัวอย่าง
Vilayanur Ramachandran - Brain expert
Neurologist V.S. Ramachandran looks deep into the brain’s most basic mechanisms. By working with those who have very specific mental disabilities caused by brain injury or stroke, he can map functions of the mind to physical structures of the brain. Full bio
Neurologist V.S. Ramachandran looks deep into the brain’s most basic mechanisms. By working with those who have very specific mental disabilities caused by brain injury or stroke, he can map functions of the mind to physical structures of the brain. Full bio
Double-click the English transcript below to play the video.
00:25
Well, as Chris pointed out, I study the human brain,
0
0
4000
ดังที่คริสได้บอกคุณไปแล้วนะครับ ผมศึกษาสมองมนุษย์
00:29
the functions and structure of the human brain.
1
4000
2000
การทำงานและโครงสร้างของสมองมนุษย์
00:31
And I just want you to think for a minute about what this entails.
2
6000
4000
และผมอยากให้คุณลองคิดสักครู่ว่ามันเกี่ยวกับอะไร
00:35
Here is this mass of jelly, three-pound mass of jelly
3
10000
4000
นี่คือก้อนเยลลี่ ก้อนเยลลี่ที่มีมวล 3 ปอนด์
00:39
you can hold in the palm of your hand,
4
14000
3000
คุณสามารถประคองมันไว้ในมือได้
00:42
and it can contemplate the vastness of interstellar space.
5
17000
4000
และมันสามารถคิดไตร่ตรองถึง
ความกว้างใหญ่ของห้วงอวกาศ
ความกว้างใหญ่ของห้วงอวกาศ
00:46
It can contemplate the meaning of infinity
6
21000
2000
มันคิดไตร่ตรองถึงความหมายของความเป็นอนันต์
00:48
and it can contemplate itself contemplating on the meaning of infinity.
7
23000
5000
และมันไตร่ตรองถึงตัวของมันเอง
ที่กำลังไต่ตรองความหมายของอนันต์อยู่
ที่กำลังไต่ตรองความหมายของอนันต์อยู่
00:53
And this peculiar recursive quality that we call self-awareness,
8
28000
5000
และคุณสมบัติการคิดวนซ้ำแบบนี้
ที่เราเรียกมันว่าความตระหนักรู้ตน
ที่เราเรียกมันว่าความตระหนักรู้ตน
00:58
which I think is the holy grail of neuroscience, of neurology,
9
33000
4000
ที่ผมคิดว่ามันคือเป้าหมายสูงสุดของประสาทวิทยา
01:02
and hopefully, someday, we'll understand how that happens.
10
37000
2000
และหวังว่า วันหนึ่งเราจะเข้าใจกลไกของมัน
01:05
OK, so how do you study this mysterious organ?
11
40000
3000
เอาล่ะ แล้วเราจะศึกษาอวัยวะลึกลึบนี้ได้อย่างไร ?
01:08
I mean, you have 100 billion nerve cells,
12
43000
4000
ผมหมายถึง คุณมีถึงหนึ่งแสนล้านเซลล์ประสาท
01:12
little wisps of protoplasm, interacting with each other,
13
47000
3000
เส้นใยเล็กๆของโพรโทพลาสซึมที่มีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน
01:15
and from this activity emerges the whole spectrum of abilities
14
50000
4000
และจากกิจกรรมเหล่านี้
ก่อให้เกิดความสามารถมากมาย
ก่อให้เกิดความสามารถมากมาย
01:19
that we call human nature and human consciousness.
15
54000
3000
ที่เราเรียกว่าธรรมชาติของมนุษย์
และสติสัมปชัญญะของมนุษย์
และสติสัมปชัญญะของมนุษย์
01:22
How does this happen?
16
57000
1000
มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ?
01:23
Well, there are many ways of approaching the functions of the human brain.
17
58000
3000
มันมีหลายวิธีที่จะใช้เพื่อศึกษา
การทำงานของสมองมนุษย์
การทำงานของสมองมนุษย์
01:26
One approach, the one we use mainly,
18
61000
3000
วิธีหนึ่ง ซึ่งเราใช้เป็นหลักเลยก็คือ
01:29
is to look at patients with sustained damage to a small region of the brain,
19
64000
5000
การศึกษาผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บ
ในบริเวณเล็กๆ ของสมอง
ในบริเวณเล็กๆ ของสมอง
01:34
where there's been a genetic change in a small region of the brain.
20
69000
2000
หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม
ในบริเวณเล็กๆ ของสมอง
ในบริเวณเล็กๆ ของสมอง
01:36
What then happens is not an across-the-board reduction
21
71000
4000
สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่การถดถอยในทุกๆ ด้าน
01:40
in all your mental capacities,
22
75000
2000
ในความสามารถของสมอง
01:42
a sort of blunting of your cognitive ability.
23
77000
3000
เหมือนกับกระบวนการรับรู้โดยรวมแย่ลง
01:45
What you get is a highly selective loss of one function,
24
80000
3000
แต่สิ่งที่คุณพบ คือการสูญเสียการทำงาน
แบบเฉพาะเจาะจงมากๆ
แบบเฉพาะเจาะจงมากๆ
01:48
with other functions being preserved intact,
25
83000
2000
ในขณะที่การทำงานด้านอื่นๆ ยังคงปกติดีอยู่
01:50
and this gives you some confidence in asserting
26
85000
2000
และนี่ช่วยให้ความั่นใจแก่คุณในการยืนยัน
01:52
that that part of the brain is somehow involved in mediating that function.
27
87000
4000
ว่าส่วนนั้นของสมองเกี่ยวข้อง
ในกระบวนการทำงานของหน้าที่นั้น
ในกระบวนการทำงานของหน้าที่นั้น
01:56
So you can then map function onto structure,
28
91000
2000
คุณจึงสามารถเชื่อมโยงหน้าที่เข้ากับโครงสร้าง
01:58
and then find out what the circuitry's doing
29
93000
3000
และหาว่าวงจรการทำงานของสมองนั้นทำงานอย่างไร
02:01
to generate that particular function.
30
96000
2000
เพื่อก่อให้เกิดหน้าที่เฉพาะอันนั้น
02:03
So that's what we're trying to do.
31
98000
2000
ดังนั้น นี่จึงเป็นสิ่งที่เราพยายามทำ
02:05
So let me give you a few striking examples of this.
32
100000
3000
ให้ผมแสดงให้ดูถึง 3 ตัวอย่างที่โดดเด่น
02:08
In fact, I'm giving you three examples, six minutes each, during this talk.
33
103000
4000
อันที่จริง ผมจะกล่าวถึง 3 ตัวอย่าง
ตัวอย่างละ 6 นาที ในการบรรยายครั้งนี้
ตัวอย่างละ 6 นาที ในการบรรยายครั้งนี้
02:12
The first example is an extraordinary syndrome called Capgras syndrome.
34
107000
4000
ตัวอย่างแรก เป็นโรคแปลกประหลาด
ชื่อ กลุ่มอาการ คัพกราส์ (Capgras syndrome)
ชื่อ กลุ่มอาการ คัพกราส์ (Capgras syndrome)
02:16
If you look at the first slide there,
35
111000
2000
ถ้าคุณดูที่สไลด์แรก
02:18
that's the temporal lobes, frontal lobes, parietal lobes, OK --
36
113000
5000
นั่นคือสมองกลีบขมับ กลีบหน้า กลีบข้าง
02:23
the lobes that constitute the brain.
37
118000
2000
กลีบเหล่านั้นประกอบกันเป็นสมอง
02:25
And if you look, tucked away inside the inner surface of the temporal lobes --
38
120000
4000
และที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ผิวของสมองกลีบขมับ
02:29
you can't see it there --
39
124000
2000
ที่คุณมองมันไม่เห็นจากมุมนี้
02:31
is a little structure called the fusiform gyrus.
40
126000
2000
มันจะมีโครงสร้างเล็กๆ
ที่เรียกว่า ฟิวซิฟอร์มไจรัส (fusiform gyrus)
ที่เรียกว่า ฟิวซิฟอร์มไจรัส (fusiform gyrus)
02:33
And that's been called the face area in the brain,
41
128000
3000
และมันถูกเรียกว่าสมองส่วนที่ใช้จดจำใบหน้า
02:36
because when it's damaged, you can no longer recognize people's faces.
42
131000
3000
เนื่องจากถ้ามันเสียหาย
คุณจะไม่สามารถจำใบหน้าผู้คนได้
คุณจะไม่สามารถจำใบหน้าผู้คนได้
02:39
You can still recognize them from their voice
43
134000
2000
คุณยังคงจำพวกเขาได้จากน้ำเสียง
02:41
and say, "Oh yeah, that's Joe,"
44
136000
2000
และพูดว่า "อ้อใช่ นั่นโจ"
02:43
but you can't look at their face and know who it is, right?
45
138000
3000
แต่คุณไม่สามารถมองใบหน้าพวกเขา
แล้วจำได้ว่าเป็นใคร
แล้วจำได้ว่าเป็นใคร
02:46
You can't even recognize yourself in the mirror.
46
141000
2000
คุณจะไม่สามารถแม้แต่จะจำตัวเองในกระจกได้
02:48
I mean, you know it's you because you wink and it winks,
47
143000
3000
ผมหมายถึง คุณคงรู้ได้เพราะถ้าคุณกระพริบตา
เงาสะท้อนคุณก็กระพริบด้วย
เงาสะท้อนคุณก็กระพริบด้วย
02:51
and you know it's a mirror,
48
146000
2000
และคุณก็รู้ว่ามันเป็นกระจก
02:53
but you don't really recognize yourself as yourself.
49
148000
3000
แต่คุณจะจำไม่ได้ว่าคนในกระจกเป็นตัวคุณเอง
02:56
OK. Now that syndrome is well known as caused by damage to the fusiform gyrus.
50
151000
4000
โอเค ตอนนี้โรคนี้เป็นที่รู้จักกันดี
ว่ามีสาเหตุมาจากฟิวซิฟอร์มไจรัสถูกทำลาย
ว่ามีสาเหตุมาจากฟิวซิฟอร์มไจรัสถูกทำลาย
03:00
But there's another rare syndrome, so rare, in fact,
51
155000
3000
แต่มันยังมีกลุ่มอาการหายากอีกแบบหนึ่ง
ที่จริงแล้วพบยากมาก
ที่จริงแล้วพบยากมาก
03:03
that very few physicians have heard about it, not even neurologists.
52
158000
4000
มีแพทย์น้อยคนที่เคยได้ยินชื่อมัน
แม้แต่นักประสาทวิทยาเองก็ไม่เคยได้ยิน
แม้แต่นักประสาทวิทยาเองก็ไม่เคยได้ยิน
03:07
This is called the Capgras delusion,
53
162000
2000
มันถูกเรียกว่า อาการประสาทหลอนคัพกราส์
03:09
and that is a patient, who's otherwise completely normal,
54
164000
3000
นั่นคือ คนไข้ผู้ซึ่งในแง่อื่นๆแล้วปกติดีทุกอย่าง
03:12
has had a head injury, comes out of coma,
55
167000
3000
ได้รับบาดเจ็บที่ศรีษะ ฟื้นจากโคม่า
03:15
otherwise completely normal, he looks at his mother
56
170000
3000
เป็นปกติดีทุกอย่าง
ยกเว้นตอนทีเขาเจอแม่ของเขา
ยกเว้นตอนทีเขาเจอแม่ของเขา
03:18
and says, "This looks exactly like my mother, this woman,
57
173000
3000
และพูดว่า "ผู้หญิงคนนี้เหมือนแม่ของฉันเปี๊ยบ
03:21
but she's an impostor.
58
176000
2000
แต่เธอเป็นตัวปลอม
03:23
She's some other woman pretending to be my mother."
59
178000
2000
เธอเป็นผู้หญิงคนอื่นที่แสร้งทำเป็นแม่ของฉัน"
03:25
Now, why does this happen?
60
180000
2000
ทีนี้ ทำไมสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น ?
03:27
Why would somebody -- and this person is perfectly lucid and intelligent
61
182000
3000
ทำไมบางคน
--และคนคนนี้ก็เป็นผู้มีสัมปชัญญะครบถ้วน
--และคนคนนี้ก็เป็นผู้มีสัมปชัญญะครบถ้วน
03:30
in all other respects, but when he sees his mother,
62
185000
2000
และฉลาดในแง่อื่นๆ ทั้งหมด
แต่เมื่อเขาเห็นแม่ของเขา
แต่เมื่อเขาเห็นแม่ของเขา
03:32
his delusion kicks in and says, it's not mother.
63
187000
3000
อาการประสาทหลอนก็จะเริ่มขึ้น
และบอกว่านั่นไม่ใช่แม่ของเขา
และบอกว่านั่นไม่ใช่แม่ของเขา
03:35
Now, the most common interpretation of this,
64
190000
2000
คำอธิบายทั่วไปของเรื่องนี้
03:37
which you find in all the psychiatry textbooks,
65
192000
2000
ซึ่งคุณจะหาได้ในหนังสือจิตวิทยาทุกเล่ม
03:39
is a Freudian view, and that is that this chap --
66
194000
4000
คือมุมมองแบบฟรอยด์ นั่นคือ นายหมอนี่
03:43
and the same argument applies to women, by the way,
67
198000
2000
อ้อ และคำอธิบายนี้ก็ใช้กับผู้หญิงได้ด้วยนะครับ
03:45
but I'll just talk about guys.
68
200000
2000
แต่ผมแค่ยกตัวอย่างว่าเป็นผู้ชาย
03:47
When you're a little baby, a young baby,
69
202000
3000
เมื่อคุณเป็นเด็กน้อย เป็นทารก
03:50
you had a strong sexual attraction to your mother.
70
205000
2000
คุณมีความรู้สึกดึงดูดทางเพศต่อแม่ของคุณ
03:52
This is the so-called Oedipus complex of Freud.
71
207000
2000
นี่มีชื่อเรียกว่า ปมเอดิเพิส
(Oedipus complex) ของฟรอยด์
(Oedipus complex) ของฟรอยด์
03:54
I'm not saying I believe this,
72
209000
2000
ผมไม่ได้บอกว่าผมเชื่อนะครับ
03:56
but this is the standard Freudian view.
73
211000
2000
แต่นี่คือมุมมองแบบมาตรฐานในแบบของฟรอยด์
03:58
And then, as you grow up, the cortex develops,
74
213000
3000
และเมื่อคุณโตขึ้น สมองชั้นนอกพัฒนาขึ้น
04:01
and inhibits these latent sexual urges towards your mother.
75
216000
4000
และยับยั้งความปราถนาทางเพศ
ต่อแม่ของคุณที่ซ่อนอยู่
ต่อแม่ของคุณที่ซ่อนอยู่
04:05
Thank God, or you would all be sexually aroused when you saw your mother.
76
220000
4000
ขอบคุณพระเจ้า ไม่อย่างนั้น
คุณคงเกิดอารมณ์ทางเพศเมื่อเห็น
แม่ของตัวเองกันหมดแน่ๆ
คุณคงเกิดอารมณ์ทางเพศเมื่อเห็น
แม่ของตัวเองกันหมดแน่ๆ
04:09
And then what happens is,
77
224000
2000
และสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ
04:11
there's a blow to your head, damaging the cortex,
78
226000
2000
การบาดเจ็บที่ศรีษะ ทำลายสมองชั้นนอก
04:13
allowing these latent sexual urges to emerge,
79
228000
4000
เปิดโอกาสให้ความปรารถนาทางเพศ
ที่ซ่อนเร้นอยู่ถูกปลดปล่อย
ที่ซ่อนเร้นอยู่ถูกปลดปล่อย
04:17
flaming to the surface, and suddenly and inexplicably
80
232000
3000
ปะทุขึ้นสู่ภายนอก อย่างทันทีทันใดโดยอธิบายไม่ได้
04:20
you find yourself being sexually aroused by your mother.
81
235000
3000
และคุณรู้สึกถูกกระตุ้นทางเพศโดยแม่ของคุณ
04:23
And you say, "My God, if this is my mom,
82
238000
2000
และคุณจะคิดว่า "พระเจ้า ถ้านี่เป็นแม่ของฉัน
04:25
how come I'm being sexually turned on?
83
240000
2000
ทำไมฉันถึงมีอารมณ์ทางเพศได้หล่ะ?
04:27
She's some other woman. She's an impostor."
84
242000
2000
เธอต้องเป็นผู้หญิงคนอื่น เธอต้องเป็นตัวปลอม"
04:29
It's the only interpretation that makes sense to your damaged brain.
85
244000
4000
มันเป็นการตีความแบบเดียวที่สมเหตุผล
กับการบาดเจ็บของสมอง
กับการบาดเจ็บของสมอง
04:33
This has never made much sense to me, this argument.
86
248000
3000
มันไม่เคยฟังดูสมเหตุผลเลยสำหรับผม
ข้อโต้แย้งนี้
ข้อโต้แย้งนี้
04:36
It's very ingenious, as all Freudian arguments are --
87
251000
3000
เข้าใจคิดจริงๆ เช่นเดียวกับข้อโต้แย้งอื่นๆของฟรอยด์
04:39
(Laughter)
88
254000
2000
(เสียงหัวเราะ)
04:41
-- but didn't make much sense because I have seen the same delusion,
89
256000
5000
แต่มันไม่ค่อยมีเหตุผล
เพราะผมเคยเห็นอาการหลอนแบบเดียวกัน
เพราะผมเคยเห็นอาการหลอนแบบเดียวกัน
04:46
a patient having the same delusion, about his pet poodle.
90
261000
2000
คนไข้คนหนึ่ง มีอาการหลอนแบบเดียวกัน
กับหมาพุดเดิ้ลของเขา
กับหมาพุดเดิ้ลของเขา
04:48
(Laughter)
91
263000
1000
(เสียงหัวเราะ)
04:49
He'll say, "Doctor, this is not Fifi. It looks exactly like Fifi,
92
264000
5000
เขาบอกว่า "หมอ, นี่มันไม่ใช่ฟิฟี่ มันดูเหมือนฟิฟี่เป๊ะ
04:54
but it's some other dog." Right?
93
269000
2000
แต่นี่มันเป็นหมาตัวอื่น"
04:56
Now, you try using the Freudian explanation there.
94
271000
2000
ทีนี้ลองเอาคำอธิบายแบบฟรอยด์มาใช้สิครับ
04:58
(Laughter)
95
273000
1000
(เสียงหัวเราะ)
04:59
You'll start talking about the latent bestiality in all humans,
96
274000
4000
คุณจะเริ่มพูดเรื่องความปรารถนาจะสมสู่กับสัตว์
ที่ซ้อนเร้นอยู่ในมนุษย์ทุกคน
ที่ซ้อนเร้นอยู่ในมนุษย์ทุกคน
05:03
or some such thing, which is quite absurd, of course.
97
278000
3000
หรืออะไรแบบนั้น ซึ่งแน่นอน มันเหลวไหลสิ้นดี
05:06
Now, what's really going on?
98
281000
2000
ทีนี้ แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ?
05:08
So, to explain this curious disorder,
99
283000
2000
เพื่อที่จะอธิบายความผิดปกติอันน่าฉงนนี้
05:10
we look at the structure and functions of the normal visual pathways in the brain.
100
285000
4000
เราศึกษาถึงโครงสร้างและการทำงาน
ของเส้นทางสื่อประสาททางสายตาในสมองที่ปกติ
ของเส้นทางสื่อประสาททางสายตาในสมองที่ปกติ
05:14
Normally, visual signals come in, into the eyeballs,
101
289000
3000
ปกติแล้ว สัญญาณภาพเข้ามาสู่ลูกตา
05:17
go to the visual areas in the brain.
102
292000
2000
และส่งไปยังส่วนประมวลภาพในสมอง
05:19
There are, in fact, 30 areas in the back of your brain concerned with just vision,
103
294000
3000
อันที่จริงแล้ว มีพื้นที่ 30 ส่วนในสมอง
ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องภาพ
ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องภาพ
05:22
and after processing all that, the message goes to a small structure
104
297000
3000
หลังจากประมวลผลเสร็จ
ข้อความจะถูกส่งไปยังโครงสร้างเล็กๆ
ข้อความจะถูกส่งไปยังโครงสร้างเล็กๆ
05:25
called the fusiform gyrus, where you perceive faces.
105
300000
5000
ที่ชื่อฟิวซิฟอร์มไจรัส ที่ซึ่งคุณรับรู้ใบหน้า
05:30
There are neurons there that are sensitive to faces.
106
305000
2000
มันมีเซลล์ประสาทที่ไวต่อภาพใบหน้า
05:32
You can call it the face area of the brain, right?
107
307000
3000
คุณสามารถเรียกมันได้ว่า
เป็นสมองส่วนจดจำใบหน้า
เป็นสมองส่วนจดจำใบหน้า
05:35
I talked about that earlier.
108
310000
2000
ผมพูดถึงไปแล้วก่อนหน้านี้
05:37
Now, when that area's damaged, you lose the ability to see faces, right?
109
312000
4000
ทีนี้ เมื่อบริเวณนั้นเสียหาย
คุณจะเสียความสามารถในการจดจำใบหน้า
คุณจะเสียความสามารถในการจดจำใบหน้า
05:41
But from that area, the message cascades
110
316000
3000
แต่จากบริเวณนั้น ข้อความถูกส่งต่อไปยัง
05:44
into a structure called the amygdala in the limbic system,
111
319000
3000
โครงสร้างที่เรียกว่า อมิกดาลา (amygdala) ในสมองชั้นใน
05:47
the emotional core of the brain,
112
322000
2000
ส่วนความรู้สึกในสมอง
05:49
and that structure, called the amygdala,
113
324000
2000
และโครงสร้างนั้น ที่เรียกว่า อมิกดาลา
05:51
gauges the emotional significance of what you're looking at.
114
326000
2000
จะวัดปริมาณความรู้สึกของสิ่งที่คุณมองเห็น
05:53
Is it prey? Is it predator? Is it mate?
115
328000
4000
มันคือเหยื่อ มันคือผู้ล่า มันคือเพศตรงข้าม
05:57
Or is it something absolutely trivial, like a piece of lint,
116
332000
2000
หรือมันคือสิ่งทั่วๆไปเช่นเศษผ้า
05:59
or a piece of chalk, or a -- I don't want to point to that, but --
117
334000
4000
เศษชอล์ก หรือ ผมไม่อยากจะชี้ไปตรงนั้น แต่
06:03
or a shoe, or something like that? OK?
118
338000
2000
หรือรองเท้า หรืออะไรก็ตาม
06:05
Which you can completely ignore.
119
340000
2000
ที่ซึ่งคุณสามารถละเลยได้
06:07
So if the amygdala is excited, and this is something important,
120
342000
3000
ดังนั้น ถ้าอามิกดาลาถูกกระตุ้น
นั่นหมายถึงบางอย่างที่สำคัญ
นั่นหมายถึงบางอย่างที่สำคัญ
06:10
the messages then cascade into the autonomic nervous system.
121
345000
3000
ข้อความจะถูกส่งต่อไปยังระบบประสาทอัตโนมัติ
06:13
Your heart starts beating faster.
122
348000
2000
หัวใจคุณจะเต้นเร็วขึ้น
06:15
You start sweating to dissipate the heat that you're going to
123
350000
3000
คุณเริ่มเหงื่อออก
เพื่อเตรียมจะระบายความร้อน
เพื่อเตรียมจะระบายความร้อน
06:18
create from muscular exertion.
124
353000
2000
ที่คุณจะสร้างจากการออกแรงของกล้ามเนื้อ
06:20
And that's fortunate, because we can put two electrodes on your palm
125
355000
4000
และนั่นถือเป็นโชคดี เพราะเราสามารถ
วางขั้วไฟฟ้าสองอันไว้ในมือคุณ
วางขั้วไฟฟ้าสองอันไว้ในมือคุณ
06:24
and measure the change in skin resistance produced by sweating.
126
359000
4000
แล้ววัดการเปลี่ยนแปลงความต้านทานไฟฟ้า
ของผิวหนังซึ่งเกิดจากเหงื่อ
ของผิวหนังซึ่งเกิดจากเหงื่อ
06:28
So I can determine, when you're looking at something,
127
363000
2000
ดังนั้นผมจึงสามารถวัดได้ว่า เมื่อคุณมองบางสิ่ง
06:30
whether you're excited or whether you're aroused, or not, OK?
128
365000
4000
คุณตื่นเต้น หรือรู้สึกถูกกระตุ้นหรือเปล่า
06:34
And I'll get to that in a minute.
129
369000
2000
และผมจะบอกในอีกสักครู่
06:36
So my idea was, when this chap looks at an object, when he looks at his --
130
371000
4000
แนวคิดของผมคือ เมื่อนายคนนี้มองวัตถุสักชิ้น
06:40
any object for that matter, it goes to the visual areas and,
131
375000
4000
หรือมองวัตถุอะไรก็ตาม
มันจะถูกส่งไปยังส่วนประมวลภาพ
มันจะถูกส่งไปยังส่วนประมวลภาพ
06:44
however, and it's processed in the fusiform gyrus,
132
379000
3000
มันจะถูกประมวลโดยฟิวซิฟอร์มไจรัส
06:47
and you recognize it as a pea plant, or a table,
133
382000
3000
และคุณก็รู้ว่ามันเป็นต้นถั่ว หรือโต๊ะ
06:50
or your mother, for that matter, OK?
134
385000
2000
หรือแม่ของคุณ โอเคไหมครับ
06:52
And then the message cascades into the amygdala,
135
387000
3000
และจากนั้นข้อความก็ถูกส่งต่อไปยังอมิกดาลา
06:55
and then goes down the autonomic nervous system.
136
390000
2000
และไปต่อยังระบบประสาทอัตโนมัติ
06:57
But maybe, in this chap, that wire that goes from the amygdala to the limbic system,
137
392000
5000
แต่บางที ในกรณีของนายคนนี้ เส้นทางเชื่อมต่อ
ระหว่างอมิกดาลากับสมองชั้นใน
ระหว่างอมิกดาลากับสมองชั้นใน
07:02
the emotional core of the brain, is cut by the accident.
138
397000
3000
ซึ่งเป็นส่วนควบคุมอารมณ์ของสมอง
ถูกตัดขาดโดยอุบัติเหตุ
ถูกตัดขาดโดยอุบัติเหตุ
07:05
So because the fusiform is intact,
139
400000
2000
ดังนั้น เนื่องจากฟิวซิฟอร์มยังอยู่ดี
07:07
the chap can still recognize his mother,
140
402000
3000
นายคนนี้จึงยังจำแม่ของเขาได้
07:10
and says, "Oh yeah, this looks like my mother."
141
405000
2000
และบอกว่า "อ้อใช่ นี่คือดูเหมือนแม่ของฉัน"
07:12
But because the wire is cut to the emotional centers,
142
407000
3000
แต่เนื่องจากเส้นทางสู่ศูนย์ควบคุมอารมณ์ถูกตัดขาด
07:15
he says, "But how come, if it's my mother, I don't experience a warmth?"
143
410000
4000
เขาจึงคิดว่า "แต่ถ้านี่คือแม่ของฉัน
ทำไมฉันถึงไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นเลย"
ทำไมฉันถึงไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นเลย"
07:19
Or terror, as the case may be? Right?
144
414000
2000
หรือความรู้สึกสยอง ก็แล้วแต่กรณีนะครับ
07:21
(Laughter)
145
416000
1000
(เสียงหัวเราะ)
07:22
And therefore, he says, "How do I account for this inexplicable lack of emotions?
146
417000
6000
ดังนั้นเขาจึงคิดว่า "แล้วฉันจะอธิบายความรู้สึก
ไร้อารมณ์นี้ได้อย่างไร"
ไร้อารมณ์นี้ได้อย่างไร"
07:28
This can't be my mother.
147
423000
2000
นี่ต้องไม่ใช่แม่ของฉันแน่ๆ
07:30
It's some strange woman pretending to be my mother."
148
425000
2000
ต้องเป็นหญิงแปลกหน้าสักคน
ปลอมตัวมาเป็นแม่ของฉัน"
ปลอมตัวมาเป็นแม่ของฉัน"
07:32
How do you test this?
149
427000
2000
เราทดสอบได้อย่างไร ?
07:34
Well, what you do is, if you take any one of you here, and put you in front of a screen,
150
429000
2000
ที่คุณต้องทำคือ ถ้าคุณให้ใครสักคนในที่นี้
ให้เขานั่งหน้าจอ
ให้เขานั่งหน้าจอ
07:36
and measure your galvanic skin response,
151
431000
3000
และวัดความต้านทานไฟฟ้าของผิวหนัง
07:39
and show pictures on the screen,
152
434000
2000
และแสดงภาพต่างๆ บนจอ
07:41
I can measure how you sweat when you see an object,
153
436000
3000
ผมสามารถวัดว่าคุณเหงื่อออก
มากน้อยแค่ไหนเมื่อคุณมองเห็นวัตถุ
มากน้อยแค่ไหนเมื่อคุณมองเห็นวัตถุ
07:44
like a table or an umbrella. Of course, you don't sweat.
154
439000
3000
เช่น โต๊ะ หรือร่ม แน่นอนว่าคุณจะไม่เหงื่อออก
07:47
If I show you a picture of a lion, or a tiger, or a pinup, you start sweating, right?
155
442000
5000
แต่ถ้าผมโชว์ภาพเสือ สิงโต หรือภาพวาบหวิว
คุณจะเริ่มมีเหงื่อ
คุณจะเริ่มมีเหงื่อ
07:52
And, believe it or not, if I show you a picture of your mother --
156
447000
3000
และเชื่อหรือไม่ว่า ถ้าผมแสดงภาพแม่ของคุณ
07:55
I'm talking about normal people -- you start sweating.
157
450000
2000
ผมหมายถึงในคนปกตินะครับ
คุณจะเริ่มเหงื่อออก
คุณจะเริ่มเหงื่อออก
07:57
You don't even have to be Jewish.
158
452000
2000
ไม่จำเป็นจะต้องเป็นเฉพาะกับคนยิวเท่านั้นนะครับ
07:59
(Laughter)
159
454000
2000
(เสียงหัวเราะ)
08:01
Now, what happens if you show this patient?
160
456000
4000
ทีนี้จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณเอาภาพเหล่านี้
แสดงให้ผู้ป่วยรายนี้ดู?
แสดงให้ผู้ป่วยรายนี้ดู?
08:05
You take the patient and show him pictures on the screen
161
460000
4000
คุณแสดงให้ผู้ป่วยรายนี้เห็นภาพต่างๆ บนจอ
08:09
and measure his galvanic skin response.
162
464000
2000
และวัดความต้านทานไฟฟ้าบนผิวหนัง
08:11
Tables and chairs and lint, nothing happens, as in normal people,
163
466000
5000
โต๊ะ เก้าอี้ เศษผ้า ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เช่นเดียวกับในคนปกติ
เช่นเดียวกับในคนปกติ
08:16
but when you show him a picture of his mother,
164
471000
2000
แต่เมื่อคุณแสดงให้เขาเห็นภาพของแม่เขา
08:18
the galvanic skin response is flat.
165
473000
2000
ความต้านทานไฟฟ้าที่ผิวเขาก็ยังไม่มีการตอบสนอง
08:20
There's no emotional reaction to his mother,
166
475000
2000
ไม่มีการตอบสนองด้านอารมณ์ต่อแม่ของเขาเลย
08:22
because that wire going from the visual areas to the emotional centers is cut.
167
477000
5000
เพราะเส้นทางเชื่อต่อจากส่วนรับภาพ
ไปถึงส่วนควบคุมอารมณ์นั้นถูกตัดขาด
ไปถึงส่วนควบคุมอารมณ์นั้นถูกตัดขาด
08:27
So his vision is normal because the visual areas are normal,
168
482000
3000
สายตาของเขายังปกติ เนื่องจากส่วนรับภาพยังปกติ
08:30
his emotions are normal -- he'll laugh, he'll cry, so on and so forth --
169
485000
3000
อารมณ์ของเขาก็เป็นปกติ เขายังหัวเราะ
ร้องไห้ และแสดงอารมณ์อื่นๆ ได้อยู่
ร้องไห้ และแสดงอารมณ์อื่นๆ ได้อยู่
08:33
but the wire from vision to emotions is cut
170
488000
3000
แต่เส้นทางเชื่อมระหว่างภาพ
และอารมณ์นั้นถูกตัด
และอารมณ์นั้นถูกตัด
08:36
and therefore he has this delusion that his mother is an impostor.
171
491000
3000
และดังนั้นเขาจึงเกิดประสาทหลอน
ว่าแม่ของเขานั้นคือตัวปลอม
ว่าแม่ของเขานั้นคือตัวปลอม
08:39
It's a lovely example of the sort of thing we do:
172
494000
3000
นี่คือตัวอย่างของสิ่งที่เราทำ
08:42
take a bizarre, seemingly incomprehensible, neural psychiatric syndrome
173
497000
4000
คือเอากรณีของคนไข้ที่มีอาการทางจิต
ที่แปลกประหลาด ราวกับไม่มีคำอธิบาย
ที่แปลกประหลาด ราวกับไม่มีคำอธิบาย
08:46
and say that the standard Freudian view is wrong,
174
501000
2000
และบอกว่ามุมมองแบบฟรอยด์นั้นผิด
08:48
that, in fact, you can come up with a precise explanation
175
503000
4000
และจริงๆแล้ว คุณสามารถหาเหตุผล
อธิบายได้อย่างแม่นยำ
อธิบายได้อย่างแม่นยำ
08:52
in terms of the known neural anatomy of the brain.
176
507000
2000
โดยใช้ความรู้ด้านกายวิภาคของสมอง
08:54
By the way, if this patient then goes,
177
509000
2000
อ้อ อีกอย่างหนึ่ง ถ้าผู้ป่วยรายนี้กลับไป
08:56
and mother phones from an adjacent room -- phones him --
178
511000
5000
และแม่ของเขาโทรหาจากห้องข้างๆ
09:01
and he picks up the phone, and he says, "Wow, mom, how are you? Where are you?"
179
516000
4000
และเขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นพูด เขาจะพูดว่า "โอ้ แม่ครับ แม่เป็นยังไงบ้าง แม่อยู่ไหน"
09:05
There's no delusion through the phone.
180
520000
2000
ไม่มีอาการหลอนผ่านทางโทรศัพท์
09:07
Then, she approaches him after an hour, he says, "Who are you?
181
522000
2000
จากนั้นถ้าเธอเข้ามาหาเขาอีกชั่วโมงให้หลัง
เขาจะพูดว่า "คุณเป็นใคร
เขาจะพูดว่า "คุณเป็นใคร
09:09
You look just like my mother." OK?
182
524000
2000
คุณดูเหมือแม่ผมเลย"
09:11
The reason is there's a separate pathway
183
526000
2000
เหตุผลก็คือมันมีเส้นทางสื่อประสาทอีกเส้นทางหนึ่ง
09:13
going from the hearing centers in the brain to the emotional centers,
184
528000
4000
จากส่วนรับเสียงไปยังส่วนอารมณ์
09:17
and that's not been cut by the accident.
185
532000
2000
และเส้นทางนั้นไม่ได้ถูกตัดขาดโดยอุบัติเหตุ
09:19
So this explains why through the phone he recognizes his mother, no problem.
186
534000
5000
ดังนั้น นี่จึงอธิบายว่าทำไม
เขาจึงจำแม่ของเขาได้ทางโทรศัพท์
เขาจึงจำแม่ของเขาได้ทางโทรศัพท์
09:24
When he sees her in person, he says it's an impostor.
187
539000
3000
และเมื่อเขาเห็นเธอตัวเป็นๆ
เขาจึงบอกว่านี่คือตัวปลอม
เขาจึงบอกว่านี่คือตัวปลอม
09:27
OK, how is all this complex circuitry set up in the brain?
188
542000
4000
แล้ววงจรที่ซับซ้อนนี้
ถูกสร้างขึ้นอย่างไรในสมองเรา?
ถูกสร้างขึ้นอย่างไรในสมองเรา?
09:31
Is it nature, genes, or is it nurture?
189
546000
3000
เป็นเรื่องธรรมชาติ พันธุกรรม หรือการเลี้ยงดู?
09:34
And we approach this problem
190
549000
2000
และวิธีที่เราแก้ปัญหานี้
09:36
by considering another curious syndrome called phantom limb.
191
551000
4000
โดยการศึกษาโรคประหลาดอีกโรค
ชื่อ แขนขาลวง (phantom limb)
ชื่อ แขนขาลวง (phantom limb)
09:40
And you all know what a phantom limb is.
192
555000
2000
และทุกคนรู้ว่าแขนขาลวงคืออะไร
09:42
When an arm is amputated, or a leg is amputated, for gangrene,
193
557000
3000
เมื่อ แขนถูกตัด หรือขาถูกตัดเพราะเนื้อเน่า
09:45
or you lose it in war -- for example, in the Iraq war,
194
560000
2000
หรือคุณเสียมันไปในสงคราม ตัวอย่างเช่นในสงครามอิรัก
09:47
it's now a serious problem --
195
562000
2000
ซึ่งตอนนี้กำลังเป็นปัญหาหนัก
09:49
you continue to vividly feel the presence of that missing arm,
196
564000
4000
คุณยังคงรู้สึกได้ชัดเจนว่าแขนขานั้นยังอยู่
แม้ว่ามันจะหายไปแล้ว
แม้ว่ามันจะหายไปแล้ว
09:53
and that's called a phantom arm or a phantom leg.
197
568000
3000
และมันเรียนกว่า แขนลวง หรือ ขาลวง
09:56
In fact, you can get a phantom with almost any part of the body.
198
571000
2000
อันที่จริง คุณเกิดอาการ "ลวง"
ได้กับทุกส่วนของร่างกาย
ได้กับทุกส่วนของร่างกาย
09:58
Believe it or not, even with internal viscera.
199
573000
3000
เชื่อหรือไม่ แม้แต่กับอวัยวะภายใน
10:01
I've had patients with the uterus removed -- hysterectomy --
200
576000
4000
ผมเคยมีคนป่วยที่ผ่าตัดมดลูกออกไปแล้ว
10:05
who have a phantom uterus, including phantom menstrual cramps
201
580000
5000
ซึ่งมีอาการ มดลูกลวง รวมถึง
ปวดท้องประจำเดือนลวงด้วย
ปวดท้องประจำเดือนลวงด้วย
10:10
at the appropriate time of the month.
202
585000
2000
ในช่วงเวลาที่เหมาะสมของเดือน
10:12
And in fact, one student asked me the other day,
203
587000
2000
อันที่จริง มีนักเรียนคนหนึ่งถามผมเมื่อวันก่อนว่า
10:14
"Do they get phantom PMS?"
204
589000
2000
"แล้วเธอมีอาการ วัยทองลวง (PMS) ด้วยไหม ?"
10:16
(Laughter)
205
591000
1000
(เสียงหัวเราะ)
10:17
A subject ripe for scientific enquiry, but we haven't pursued that.
206
592000
4000
เป็นอีกหัวข้อที่พร้อมสำหรับการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์
แต่เราไม่ได้ศึกษาในแนวทางนั้นนะครับ
แต่เราไม่ได้ศึกษาในแนวทางนั้นนะครับ
10:21
OK, now the next question is,
207
596000
3000
ทีนี้ อีกคำถามหนึ่งก็คือ
10:24
what can you learn about phantom limbs by doing experiments?
208
599000
3000
คุณจะเรียนรู้อะไรได้บ้างเกี่ยวกับแขนขาลวง
โดยใช้การทดลอง
โดยใช้การทดลอง
10:27
One of the things we've found was,
209
602000
2000
สิ่งหนึ่งที่เราพบคือ
10:29
about half the patients with phantom limbs
210
604000
2000
เกือบครึ่งหนึ่งของคนไข้ที่มีอาการแขนขาลวง
10:31
claim that they can move the phantom.
211
606000
2000
อ้างว่าพวกเขาสามารถเคลื่อนไหวแขนขาลวงนั้นได้
10:33
It'll pat his brother on the shoulder,
212
608000
2000
เขาใช้มันตบไหล่พี่ชายของเขาได้
10:35
it'll answer the phone when it rings, it'll wave goodbye.
213
610000
2000
เขาใช้มันรับโทรศัพท์เมื่อมันดัง หรือใช้มันโบกมือลา
10:37
These are very compelling, vivid sensations.
214
612000
3000
มันให้ความรู้สึกเหมือนจริงมาก
10:40
The patient's not delusional.
215
615000
2000
คนไข้ไม่ได้ประสาทหลอน
10:42
He knows that the arm is not there,
216
617000
2000
เขารู้อยู่แก่ใจว่าแขนเขาไม่มีแล้ว
10:44
but, nevertheless, it's a compelling sensory experience for the patient.
217
619000
3000
แต่มันเป็นความรู้สึกที่ชัดเจนสำหรับคนไข้
10:47
But however, about half the patients, this doesn't happen.
218
622000
3000
อย่างไรก็ตาม อีกครึ่งหนึ่งของคนไข้ไม่มีอาการเหล่านี้
10:50
The phantom limb -- they'll say, "But doctor, the phantom limb is paralyzed.
219
625000
4000
อาการแขนขาลวง แต่เขาจะพูดว่า
"แต่หมอ แขนขาลวงของผมเป็นอัมพาต"
"แต่หมอ แขนขาลวงของผมเป็นอัมพาต"
10:54
It's fixed in a clenched spasm and it's excruciatingly painful.
220
629000
3000
มันอยู่นิ่งในลักษณะกำแน่นและเจ็บปวดเกินบรรยาย
10:57
If only I could move it, maybe the pain will be relieved."
221
632000
3000
ถ้าผมสามารถขยับมันได้
บางทีคามเจ็บปวดอาจบรรเทาลง"
บางทีคามเจ็บปวดอาจบรรเทาลง"
11:00
Now, why would a phantom limb be paralyzed?
222
635000
3000
ทีนี้ ทำไมแขนขาลวงจึงเป็นอัมพาตได้
11:03
It sounds like an oxymoron.
223
638000
2000
ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องที่ขัดแย้งกัน
11:05
But when we were looking at the case sheets, what we found was,
224
640000
3000
แต่เมื่อเราดูที่ประวัติคนไข้ เราพบว่า
11:08
these people with the paralyzed phantom limbs,
225
643000
2000
คนเหล่านี้ที่มีอาการแขนขาลวงอัมพาตนั้น
11:10
the original arm was paralyzed because of the peripheral nerve injury.
226
645000
4000
มีแขนจริงที่เป็นอัมพาต
เพราะการบาดเจ็บทางเส้นประสาท
เพราะการบาดเจ็บทางเส้นประสาท
11:14
The actual nerve supplying the arm was severed,
227
649000
3000
เส้นประสาทจริงๆซึ่งเชื่อมไปยังแขนถูกตัดขาด
11:17
was cut, by say, a motorcycle accident.
228
652000
2000
ถูกตัดโดยอุบัติเหตุทางจักรยานยนต์เป็นต้น
11:19
So the patient had an actual arm, which is painful,
229
654000
3000
ดังนั้นคนไข้ยังมีแขนซึ่งเจ็บปวด
11:22
in a sling for a few months or a year, and then,
230
657000
4000
อยู่ในที่ห้อยแขนเป็นเวลา 2-3 เดือน
หรือเป็นปี แล้วจากนั้น
หรือเป็นปี แล้วจากนั้น
11:26
in a misguided attempt to get rid of the pain in the arm,
231
661000
3000
ด้วยความพยายามจะช่วยกำจัดความเจ็บปวดที่แขน
อันเกิดจากความเข้าใจผิดๆ
อันเกิดจากความเข้าใจผิดๆ
11:29
the surgeon amputates the arm,
232
664000
2000
ศัลยแพทย์จึงตัดแขนข้างนั้น
11:31
and then you get a phantom arm with the same pains, right?
233
666000
4000
และจากนั้นคุณก็จะได้แขนลวง
ที่ยังคงความเจ็บปวดอยู่
ที่ยังคงความเจ็บปวดอยู่
11:35
And this is a serious clinical problem.
234
670000
2000
และนี่เป็นกรณีป่วยที่รุนแรง
11:37
Patients become depressed.
235
672000
2000
ผู้ป่วยบางคนเป็นโรคซึมเศร้า
11:39
Some of them are driven to suicide, OK?
236
674000
2000
บางคนคิดฆ่าตัวตาย
11:41
So, how do you treat this syndrome?
237
676000
2000
แล้วคุณจะรักษาอาการเหล่านี้ได้อย่างไร
11:43
Now, why do you get a paralyzed phantom limb?
238
678000
2000
ทำไมคุณจึงเกิดอาการแขนลวงอัมพาต
11:45
When I looked at the case sheet, I found that they had an actual arm,
239
680000
4000
เมื่อผมศึกษาประวัติคนไข้เหล่านี้
ผมพบว่าพวกเขาล้วนมีแขนจริง
ผมพบว่าพวกเขาล้วนมีแขนจริง
11:49
and the nerves supplying the arm had been cut,
240
684000
3000
และเส้นประสาทที่เชื่อมต่อแขนนั้นถูกตัดขาด
11:52
and the actual arm had been paralyzed,
241
687000
3000
และแขนจริงก็กลายเป็นอัมพาต
11:55
and lying in a sling for several months before the amputation,
242
690000
4000
และห้อยอยู่ในที่แขวนหลายเดือนก่อนถูกตัด
11:59
and this pain then gets carried over into the phantom itself.
243
694000
6000
และความเจ็บปวดนี้ถูกส่งถ่ายไปยังแขนลวง
12:05
Why does this happen?
244
700000
2000
ทำไมสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น
12:07
When the arm was intact, but paralyzed,
245
702000
2000
เมื่อแขนยังอยู่ แต่เป็นอัมพาต
12:09
the brain sends commands to the arm, the front of the brain, saying, "Move,"
246
704000
3000
สมองจะส่งคำสั่งไปยังแขน
สมองส่วนหน้าจะสั่งว่า "ขยับ"
สมองส่วนหน้าจะสั่งว่า "ขยับ"
12:12
but it's getting visual feedback saying, "No."
247
707000
2000
และได้รับการป้อนกลับทางสายตาบอกว่า "ไม่"
12:14
Move. No. Move. No. Move. No.
248
709000
4000
ขยับ ไม่ ขยับ ไม่ ขยับ ไม่
12:18
And this gets wired into the circuitry of the brain,
249
713000
3000
และนี่ถูกบันทึกฝังลงในวงจรของสมอง
12:21
and we call this learned paralysis, OK?
250
716000
3000
และเราเรียกสิ่งนี้ว่า
ความเป็นอัมพาตจากการเรียนรู้
ความเป็นอัมพาตจากการเรียนรู้
12:24
The brain learns, because of this Hebbian, associative link,
251
719000
4000
สมองเรียนรู้ ตามการเรียนรู้แบบเฮ็บเบี้ยน (Hebbian)
12:28
that the mere command to move the arm
252
723000
3000
ว่าเพียงแค่ส่งคำสั่งไปขยับแขน
12:31
creates a sensation of a paralyzed arm.
253
726000
2000
จะสร้างความรู้สึกของแขนที่เป็นอัมพาต
12:33
And then, when you've amputated the arm,
254
728000
2000
ดังนั้น เมื่อคุณตัดแขนออก
12:35
this learned paralysis carries over into your body image
255
730000
4000
ความเป็นอัมพาตจากการเรียนรู้นี้
จึงถ่ายทอดไปยังภาพพจน์ของร่างกาย
จึงถ่ายทอดไปยังภาพพจน์ของร่างกาย
12:39
and into your phantom, OK?
256
734000
3000
และไปยังแขนลวง โอเคไหมครับ
12:42
Now, how do you help these patients?
257
737000
2000
แล้วคุณจะช่วยคนไข้เหล่านี้อย่างไร ?
12:44
How do you unlearn the learned paralysis,
258
739000
2000
คุณจะทำให้อัมพาตจากการเรียนรู้นั้นถูกลืมได้
12:46
so you can relieve him of this excruciating, clenching spasm
259
741000
4000
เพื่อที่คุณจะได้ช่วยเขาบรรเทาจากอาการ
มือกำแน่นอันเจ็บปวด
มือกำแน่นอันเจ็บปวด
12:50
of the phantom arm?
260
745000
2000
ของแขนลวงได้
12:52
Well, we said, what if you now send the command to the phantom,
261
747000
5000
ดังนั้นเราจึงคิดว่า ถ้าตอนนี้คุณส่งคำสั่งไปยังแขนลวง
12:57
but give him visual feedback that it's obeying his command, right?
262
752000
4000
แล้วให้เขาเห็นการป้อนกลับทางสายตาว่า
แขนนั้นมันทำตามคำสั่ง
แขนนั้นมันทำตามคำสั่ง
13:01
Maybe you can relieve the phantom pain, the phantom cramp.
263
756000
3000
บางทีคุณอาจจะช่วยบรรเทา
ความเจ็บปวดลวง ตะคริวลวงนี้ได้
ความเจ็บปวดลวง ตะคริวลวงนี้ได้
13:04
How do you do that? Well, virtual reality.
264
759000
2000
แล้วคุณจะทำอย่างไร
ก็ใช้ความจริงเสมือนสิครับ (virtual reality)
ก็ใช้ความจริงเสมือนสิครับ (virtual reality)
13:06
But that costs millions of dollars.
265
761000
2000
แต่นั้นมันแพงหลายล้านดอลลาร์
13:08
So, I hit on a way of doing this for three dollars,
266
763000
3000
ดังนั้นผมจึงตัดสินใจทำมัน
ในแบบที่ใช้เงินเพียง 3 ดอลลาร์
ในแบบที่ใช้เงินเพียง 3 ดอลลาร์
13:11
but don't tell my funding agencies.
267
766000
2000
แต่อย่าบอกผู้ให้ทุนสนับสนุนงานวิจัยผมนะครับ
13:13
(Laughter)
268
768000
1000
(เสียงหัวเราะ)
13:14
OK? What you do is you create what I call a mirror box.
269
769000
4000
สิ่งที่ทำคือคุณสร้างสิ่งทีผมเรียกว่ากล่องกระจก
13:18
You have a cardboard box with a mirror in the middle,
270
773000
2000
คุณมีกล่องกระดาษที่มีกระจกวางไว้ตรงกลาง
13:20
and then you put the phantom -- so my first patient, Derek, came in.
271
775000
4000
และจากนั้นคุณเอาแขนลวงใส่เข้าไป
คนไข้คนแรกของผม เดเร็ก เข้ามา
คนไข้คนแรกของผม เดเร็ก เข้ามา
13:24
He had his arm amputated 10 years ago.
272
779000
3000
แขนเขาถูกตัดไปแล้วเมื่อ 10 ปีก่อน
13:27
He had a brachial avulsion, so the nerves were cut
273
782000
3000
เขาได้รับบาดเจ็บที่ศูนย์รวมประสาทบริเวณหัวไหล่
ดังนั้นเส้นประสาทจึงถูกตัด
ดังนั้นเส้นประสาทจึงถูกตัด
13:30
and the arm was paralyzed, lying in a sling for a year, and then the arm was amputated.
274
785000
4000
แขนเขาเป็นอัมพาต ห้อยอยู่ในที่ห้อยแขนเป็นปี
และสุดท้ายก็ถูกตัด
และสุดท้ายก็ถูกตัด
13:34
He had a phantom arm, excruciatingly painful, and he couldn't move it.
275
789000
2000
เขาเกิดมีแขนลวด มันเจ็บปวดแสนสาหัส
และเขาขยับมันไม่ได้
และเขาขยับมันไม่ได้
13:36
It was a paralyzed phantom arm.
276
791000
2000
มันเป็นแขนลวงอัมพาต
13:38
So he came there, and I gave him a mirror like that, in a box,
277
793000
4000
เขาเข้ามาและผมให้กระจกแบบนั้นในกล่อง
13:42
which I call a mirror box, right?
278
797000
3000
ที่ผมเรียกว่ากล่องกระจก
13:45
And the patient puts his phantom left arm,
279
800000
3000
คนไข้สอดแขนลวงด้านซ้าย
13:48
which is clenched and in spasm, on the left side of the mirror,
280
803000
2000
ที่ซึ่งกำแน่น ไว้ทางซ้ายของกระจก
13:50
and the normal hand on the right side of the mirror,
281
805000
2000
และแขนข้างที่ปกติทางด้านขวาของกระจก
13:52
and makes the same posture, the clenched posture,
282
807000
4000
และให้ทำท่าทางเดียวกัน ท่ากำมือ
13:56
and looks inside the mirror. And what does he experience?
283
811000
3000
และมองดูในกระจก และเขาจะเกิดประสบการณ์อย่างไร
13:59
He looks at the phantom being resurrected,
284
814000
3000
เขามองเห็นแขนลวงกำลังคืนชีพขึ้นมา
14:02
because he's looking at the reflection of the normal arm in the mirror,
285
817000
4000
เพราะเขามองเห็นภาพสะท้อนของแขนที่ปกติในกระจก
14:06
and it looks like this phantom has been resurrected.
286
821000
2000
มันจึงเหมือนกับแขนลวงได้กลับมาแล้ว
14:08
"Now," I said, "now, look, wiggle your phantom --
287
823000
3000
"ทีนี้" ผมกล่าว "ทีนี้ลองกระดิก
14:11
your real fingers, or move your real fingers while looking in the mirror."
288
826000
4000
นิ้วจริงๆ หรือขยับนิ้วจริงในขณะมองกระจก"
14:15
He's going to get the visual impression that the phantom is moving, right?
289
830000
4000
เขาจะได้เห็นภาพว่านิ้วลวงกำลังขยับใช่ไหม
14:19
That's obvious, but the astonishing thing is,
290
834000
2000
นั่นมันชัดเจนอยู่แล้ว แต่สิ่งที่น่าทึ่งคือ
14:21
the patient then says, "Oh my God, my phantom is moving again,
291
836000
3000
คนไข้กล่าว่า "โอ้พระเจ้า แขนลวงผมขยับได้แล้ว"
14:24
and the pain, the clenching spasm, is relieved."
292
839000
2000
และความเจ็บปวด อาการกำแน่นก็ค่อยยังชั่วขึ้น
14:26
And remember, my first patient who came in --
293
841000
3000
และโปรดจำว่า คนไข้คนแรกที่เข้ามา
14:29
(Applause)
294
844000
1000
(เสียงปรบมือ)
14:30
-- thank you. (Applause)
295
845000
4000
ขอบคุณครับ (เสียงปรบมือ)
14:34
My first patient came in, and he looked in the mirror,
296
849000
3000
คนไข้คนแรกที่เข้ามา และเขามองกระจก
14:37
and I said, "Look at your reflection of your phantom."
297
852000
3000
และผมบอกว่า "ดูภาพสะท้อนของแขนลวงคุณสิ"
14:40
And he started giggling, he says, "I can see my phantom."
298
855000
2000
เขาเริ่มหัวเราะคิกคัก แล้วพูดว่า
"ผมเห็นแขนลวงผมแล้ว"
"ผมเห็นแขนลวงผมแล้ว"
14:42
But he's not stupid. He knows it's not real.
299
857000
2000
แต่เขาไม่ได้โง่ เขารู้ว่ามันไม่จริง
14:44
He knows it's a mirror reflection,
300
859000
2000
เขารู้ว่ามันเป็นภาพสะท้อนในกระจก
14:46
but it's a vivid sensory experience.
301
861000
2000
แต่มันเป็นประสบการณ์รับรู้ทางประสาทที่สมจริง
14:48
Now, I said, "Move your normal hand and phantom."
302
863000
3000
และผมบอกว่า "ขยับมือจริงและมือลวงของคุณ"
14:51
He said, "Oh, I can't move my phantom. You know that. It's painful."
303
866000
2000
เขาพูดว่า "ผมขยับแขนลวงไม่ได้หรอก
หมอก็รู้ มันเจ็บปวด"
หมอก็รู้ มันเจ็บปวด"
14:53
I said, "Move your normal hand."
304
868000
2000
ผมบอก "ขยับมือข้างปกติของคุณ"
14:55
And he says, "Oh my God, my phantom is moving again. I don't believe this!
305
870000
2000
และเขากล่าวว่า "โอ้พระเจ้า
แขนลวงผมขยับได้แล้ว ผมไม่อยากเชื่อเลย"
แขนลวงผมขยับได้แล้ว ผมไม่อยากเชื่อเลย"
14:57
And my pain is being relieved." OK?
306
872000
3000
และความเจ็บปวดก็ลดลงด้วย
15:00
And then I said, "Close your eyes."
307
875000
1000
และจากนั้นผมบอกว่า "ลองหลับตา"
15:01
He closes his eyes.
308
876000
2000
เขาหลับตาลง
15:03
"And move your normal hand."
309
878000
1000
"และขยับมือข้างที่ปกติของคุณ"
15:04
"Oh, nothing. It's clenched again."
310
879000
1000
"ไม่เห็นเกิดอะไรขึ้นเลย มันกำแน่นอีกแล้ว"
15:05
"OK, open your eyes."
311
880000
2000
"โอเค ลืมตาได้"
15:07
"Oh my God, oh my God, it's moving again!"
312
882000
1000
"โอ้พระเจ้า โอ้พระเจ้า มันขยับได้อีกแล้ว"
15:08
So, he was like a kid in a candy store.
313
883000
2000
เขากลายเป็นเหมือนเด็กในร้านขนมเลย
15:10
So, I said, OK, this proves my theory about learned paralysis
314
885000
5000
ดังนั้น นี่จึงพิสูจน์ทฤษฎีของผมเรื่อง
ความเป็นอัมพาตจากการเรียนรู้
ความเป็นอัมพาตจากการเรียนรู้
15:15
and the critical role of visual input,
315
890000
2000
และความสำคัญของข้อมูลทางสายตา
15:17
but I'm not going to get a Nobel Prize
316
892000
2000
แต่ผมคงไม่ได้รางวัลโนเบล
15:19
for getting somebody to move his phantom limb.
317
894000
2000
สำหรับการทำให้ใครบางคน
สามารถขยับแขนขาลวงได้
สามารถขยับแขนขาลวงได้
15:21
(Laughter)
318
896000
1000
(เสียงหัวเราะ)
15:22
(Applause)
319
897000
1000
(เสียงปรบมือ)
15:23
It's a completely useless ability, if you think about it.
320
898000
3000
มันเป็นความสามารถที่ไร้ประโยชน์สิ้นดี
ถ้าคุณลองคิดดู
ถ้าคุณลองคิดดู
15:26
(Laughter)
321
901000
1000
(เสียงหัวเราะ)
15:27
But then I started realizing, maybe other kinds of paralysis
322
902000
4000
แต่ผมก็เริ่มตระหนักว่า
บางที ความเป็นอัมพาตแบบอื่นๆ
บางที ความเป็นอัมพาตแบบอื่นๆ
15:31
that you see in neurology, like stroke, focal dystonias --
323
906000
5000
ที่คุณเห็นในประสาทวิทยา เช่น เส้นเลือดในสมองอุดตัน
หรืออาการดิโทเนียเฉพาะจุด (focal dystonias)
หรืออาการดิโทเนียเฉพาะจุด (focal dystonias)
15:36
there may be a learned component to this,
324
911000
2000
บางทีอาจมีปัจจัยอันเกิดจากการเรียนรู้เสริมเข้าไปด้วย
15:38
which you can overcome with the simple device of using a mirror.
325
913000
3000
ซึ่งคุณสามารถเอาชนะมันได้ด้วย
อุปกรณ์ง่ายๆ เช่นกระจก
อุปกรณ์ง่ายๆ เช่นกระจก
15:41
So, I said, "Look, Derek" --
326
916000
2000
ผมจึงพูดว่า "เอาล่ะ เดเร็ก"
15:43
well, first of all, the guy can't just go around carrying a mirror to alleviate his pain --
327
918000
3000
คืออย่างแรก เขาคงไม่สามารถแบกกระจกตลอดเวลา
เพื่อให้ความเจ็บปวดเขาหายไป
เพื่อให้ความเจ็บปวดเขาหายไป
15:46
I said, "Look, Derek, take it home and practice with it for a week or two.
328
921000
4000
ผมจึงพูดว่า "เอาล่ะ เดเร็ก เอากระจกนี่กลับบ้าน
แล้วลองฝึกดูสักอาทิตย์ สองอาทิตย์
แล้วลองฝึกดูสักอาทิตย์ สองอาทิตย์
15:50
Maybe, after a period of practice,
329
925000
2000
บางที หลังจากที่ฝึกไปสักพัก
15:52
you can dispense with the mirror, unlearn the paralysis,
330
927000
2000
คุณจะเลิกใช้กระจกได้ และลืมอาการอัมพาต
15:54
and start moving your paralyzed arm,
331
929000
2000
และเริ่มขยับแขนที่เป็นอัมพาตได้
15:56
and then, relieve yourself of pain."
332
931000
2000
และจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของคุณ"
15:58
So he said OK, and he took it home.
333
933000
2000
เขาตอบตกลงและเอากระจกกลับบ้านไป
16:00
I said, "Look, it's, after all, two dollars. Take it home."
334
935000
2000
"จริงๆ แล้วมันก็แค่สองเหรียญ เอามันกลับบ้านไปเลย"
16:02
So, he took it home, and after two weeks, he phones me,
335
937000
3000
เขาจึงเอามันกลับบ้าน
และหลังจากนั้นสองอาทิตย์ เขาโทรหาผม
และหลังจากนั้นสองอาทิตย์ เขาโทรหาผม
16:05
and he said, "Doctor, you're not going to believe this."
336
940000
2000
เขาพูดว่า "หมอ หมอต้องไม่เชื่อผมแน่ๆ"
16:07
I said, "What?"
337
942000
1000
ผมถาม "อะไรหรือ"
16:08
He said, "It's gone."
338
943000
2000
เขาบอก "มันหายไปแล้ว"
16:10
I said, "What's gone?"
339
945000
1000
ผมถาม "อะไรหาย"
16:11
I thought maybe the mirror box was gone.
340
946000
2000
ผมคิดว่า บางทีกล่องกระจกหายไปแล้ว
16:13
(Laughter)
341
948000
1000
(เสียงหัวเราะ)
16:14
He said, "No, no, no, you know this phantom I've had for the last 10 years?
342
949000
3000
เขาบอกว่า "ไม่ใช่ครับ แขนลวงของผม
ที่ผมมีมาตลอด 10 ปีมานี้"
ที่ผมมีมาตลอด 10 ปีมานี้"
16:17
It's disappeared."
343
952000
2000
มันหายไปแล้ว
16:19
And I said -- I got worried, I said, my God,
344
954000
2000
ผมกังวลมาก พระเจ้า
16:21
I mean I've changed this guy's body image,
345
956000
2000
ผมได้เปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของเขาไปแล้ว
16:23
what about human subjects, ethics and all of that?
346
958000
3000
แล้วเรื่องเกี่ยวกับมนุษยธรรม จรรยาบรรณ และอื่นๆ ล่ะ
16:26
And I said, "Derek, does this bother you?"
347
961000
2000
ผมถาม "เดเร็ก นี่ทำให้คุณกังวลหรือเปล่า"
16:28
He said, "No, last three days, I've not had a phantom arm
348
963000
3000
เขาบอกว่า "ไม่เลย สามวันที่ผ่านมา
ผมไม่มีแขนลวงแล้ว"
ผมไม่มีแขนลวงแล้ว"
16:31
and therefore no phantom elbow pain, no clenching,
349
966000
3000
และดังนั้น จึงไม่มีความปวดจากข้อศอกลวง
ไม่มีอาการกำมือแน่น
ไม่มีอาการกำมือแน่น
16:34
no phantom forearm pain, all those pains are gone away.
350
969000
3000
ไม่มีความเจ็บปวดจากต้นแขนลวง
ความเจ็บปวดทุกอย่างหายไปหมด
ความเจ็บปวดทุกอย่างหายไปหมด
16:37
But the problem is I still have my phantom fingers dangling from the shoulder,
351
972000
4000
แต่ปัญหาคือผมรู้สึกถึงนิ้วลวง
ที่ห้อยอยู่ตรงหัวไหล่ผม
ที่ห้อยอยู่ตรงหัวไหล่ผม
16:41
and your box doesn't reach."
352
976000
2000
และกล่องของคุณก็ลึกไม่พอ"
16:43
(Laughter)
353
978000
1000
(เสียงหัวเราะ)
16:44
"So, can you change the design and put it on my forehead,
354
979000
3000
"ดังนั้น คุณช่วยออกแบบใหม่
และเอามันผูกไว้กับหน้าผากผมได้ไหม"
และเอามันผูกไว้กับหน้าผากผมได้ไหม"
16:47
so I can, you know, do this and eliminate my phantom fingers?"
355
982000
3000
เพื่อที่ผมจะได้ทำแบบนี้ และกำจัดนิ้วลวงออกไป
16:50
He thought I was some kind of magician.
356
985000
2000
เขาคงนึกว่าผมเป็นนักมายากล
16:52
Now, why does this happen?
357
987000
1000
ทำไมสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น
16:53
It's because the brain is faced with tremendous sensory conflict.
358
988000
3000
นั่นเป็นเพราะสมองนั้น
ต้องเจอกับความขัดแย้งของประสาทสัมผัส
ต้องเจอกับความขัดแย้งของประสาทสัมผัส
16:56
It's getting messages from vision saying the phantom is back.
359
991000
3000
มันได้รับข้อความจากภาพว่าแขนลวงกลับมาแล้ว
16:59
On the other hand, there's no appropriate reception,
360
994000
2000
และในทางกลับกัน มันไม่มีตัวรับสัมผัสที่สอดคล้องกัน
17:01
muscle signals saying that there is no arm, right?
361
996000
4000
สัญญาณกล้ามเนื่อบอกว่าแขนนั้นไม่มีจริง
17:05
And your motor command saying there is an arm,
362
1000000
2000
และคำสั่งสู่กล้ามเนื้อบอกว่ามันมีแขน
17:07
and, because of this conflict, the brain says, to hell with it,
363
1002000
3000
และด้วยความขัดแย้งนี้ สมองจึงบอกว่า ช่างหัวมัน
17:10
there is no phantom, there is no arm, right?
364
1005000
3000
ไม่มีทั้งแขนปิศาจ ไม่มีทั้งแขนจริงนั่นแหละ
17:13
It goes into a sort of denial -- negates the signals.
365
1008000
2000
มันเข้าสู่สถานะการไม่ยอมรับ ลบล้างสัญญาณ
17:15
And when the arm disappears, the bonus is, the pain disappears
366
1010000
4000
และเมื่อแขนหายไปแล้ว
ของแถมคือความเจ็บปวดก็หายไปด้วย
ของแถมคือความเจ็บปวดก็หายไปด้วย
17:19
because you can't have disembodied pain floating out there, in space.
367
1014000
4000
เพราะคุณไม่สามารถมีความเจ็บปวด
ที่ล่องลอยอยู่ในอากาศได้
ที่ล่องลอยอยู่ในอากาศได้
17:23
So, that's the bonus.
368
1018000
2000
และนั่นเป็นของแถม
17:25
Now, this technique has been tried on dozens of patients
369
1020000
2000
เทคนิคนี้ ได้ถูกทดลองกับคนไข้จำนวนมาก
17:27
by other groups in Helsinki,
370
1022000
2000
โดยกลุ่มวิจัยอื่นๆ ในเฮลซิงกิ
17:29
so it may prove to be valuable as a treatment for phantom pain,
371
1024000
3000
ดังนั้นมันจึงพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นการรักษา
ที่จำเป้นสำหรับความเจ็บปวดลวง
ที่จำเป้นสำหรับความเจ็บปวดลวง
17:32
and indeed, people have tried it for stroke rehabilitation.
372
1027000
2000
และอันที่จริงแล้ว ผู้คนยังทดลองมัน
กับการพักฟืนจากเส้นเลือดในสมองอุดตัน
กับการพักฟืนจากเส้นเลือดในสมองอุดตัน
17:34
Stroke you normally think of as damage to the fibers,
373
1029000
3000
อาการเส้นเลือดในสมองอุดตันที่ปกติแล้ว
คุณคิดว่าเป็นความบาดเจ็บของเส้นประสาท
คุณคิดว่าเป็นความบาดเจ็บของเส้นประสาท
17:37
nothing you can do about it.
374
1032000
2000
คุณทำอะไรกับมันไม่ได้
17:39
But, it turns out some component of stroke paralysis is also learned paralysis,
375
1034000
5000
แต่มันกลายเป็นว่า บางส่วนของอัมพาตจาก
เส้นเลือดในสมองอุตันนั้นเกิดจากการเรียนรู้
เส้นเลือดในสมองอุตันนั้นเกิดจากการเรียนรู้
17:44
and maybe that component can be overcome using mirrors.
376
1039000
3000
และบางทีส่วนที่ว่านั้นอาจแก้ไขได้
โดยการใช้กระจก
โดยการใช้กระจก
17:47
This has also gone through clinical trials,
377
1042000
2000
กรณีนี้ก็เช่นกันได้ถูกไปใช้แล้วในการทดลองทางคลินิก
17:49
helping lots and lots of patients.
378
1044000
2000
เพื่อช่วยเหลือคนไข้จำนวนมาก
17:51
OK, let me switch gears now to the third part of my talk,
379
1046000
4000
โอเค ผมขอเปลี่ยนหัวข้อไปยัง
ส่วนที่สามของการบรรยายของผม
ส่วนที่สามของการบรรยายของผม
17:55
which is about another curious phenomenon called synesthesia.
380
1050000
4000
ซึ่งเกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์แปลกๆ
ที่เรียกว่าซินเนสทีเซีย (synesthesia)
ที่เรียกว่าซินเนสทีเซีย (synesthesia)
17:59
This was discovered by Francis Galton in the nineteenth century.
381
1054000
3000
มันถูกค้นพบโดย ฟรานซิส แกลตัน (Francis Galton)
ในศตวรรษ์ที่ 19
ในศตวรรษ์ที่ 19
18:02
He was a cousin of Charles Darwin.
382
1057000
2000
เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกับ ชาลส์ ดาร์วิน
18:04
He pointed out that certain people in the population,
383
1059000
2000
เขาชี้ให้เห็นว่าบางคนในกลุ่มประชากร
18:06
who are otherwise completely normal, had the following peculiarity:
384
1061000
4000
ผู้ซึ่งดูปกติในเรื่องอื่นๆ จะมีอาการดังนี้
18:10
every time they see a number, it's colored.
385
1065000
3000
ทุกครั้งที่เขาเห็นตัวเลข มันเป็นสี
18:13
Five is blue, seven is yellow, eight is chartreuse,
386
1068000
4000
ห้าคือสีน้ำเงิน เจ็ดคือสีเหลือง แปดคือสีตองอ่อน
18:17
nine is indigo, OK?
387
1072000
2000
เก้าคือสีคราม
18:19
Bear in mind, these people are completely normal in other respects.
388
1074000
3000
โปรดระลึกว่า คนเหล่านี้
เป็นคนปกติดีทุกอย่างในเรื่องอื่นๆ
เป็นคนปกติดีทุกอย่างในเรื่องอื่นๆ
18:22
Or C sharp -- sometimes, tones evoke color.
389
1077000
3000
หรือ บางครั้งโน้ตเสียงเป็นตัวกระตุ้นสี
18:25
C sharp is blue, F sharp is green,
390
1080000
3000
ซีชาร์ปเป็นสีน้ำเงิน เอฟชาร์ปเป็นสีเขียว
18:28
another tone might be yellow, right?
391
1083000
3000
โน้ตอื่นๆ อาจเป็นสีเหลือง
18:31
Why does this happen?
392
1086000
2000
ทำไมถึงเป็นเช่นนี้
18:33
This is called synesthesia. Galton called it synesthesia,
393
1088000
2000
อาการนี้เรียกว่าซินเนสทีเซีย
แกลตันเรียกมันว่าซินเนสทีเซีย
แกลตันเรียกมันว่าซินเนสทีเซีย
18:35
a mingling of the senses.
394
1090000
2000
การผสมปนเปของประสาทรับรู้
18:37
In us, all the senses are distinct.
395
1092000
2000
ในพวกเรา ประสาทรับรู้ทุกอย่างนั้นแยกกันเด็ดขาด
18:39
These people muddle up their senses.
396
1094000
2000
แต่คนเหล่านี้มีประสาทสัมผัสผสมกันปนเป
18:41
Why does this happen?
397
1096000
1000
ทำไมจึงเป็นเช่นนี้
18:42
One of the two aspects of this problem are very intriguing.
398
1097000
2000
หนึ่งในสองแง่ของปัญหานี้น่าสนใจมาก
18:44
Synesthesia runs in families,
399
1099000
2000
ซินเนสทีเซียถ่ายทอดกันในตระกูล
18:46
so Galton said this is a hereditary basis, a genetic basis.
400
1101000
3000
ดังนั้น แกลตันจึงกล่าวว่านี่เป็น
อาการที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
อาการที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
18:49
Secondly, synesthesia is about -- and this is what gets me to my point
401
1104000
4000
แง่ที่สอง ซินเนสทีเซียเกี่ยวข้องกับ --
และนี่จะโยงไปสู่ประเด็นของผม
และนี่จะโยงไปสู่ประเด็นของผม
18:53
about the main theme of this lecture, which is about creativity --
402
1108000
3000
เกี่ยวข้องกับใจความหลักของบรรยายครั้งนี้
ซึ่งเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์
ซึ่งเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์
18:56
synesthesia is eight times more common among artists, poets, novelists
403
1111000
5000
ซินเนสทีเซียนั้นพบบ่อยเป็น 8 เท่า
ในกลุ่มศิลปิน กวี นักประพันธ์
ในกลุ่มศิลปิน กวี นักประพันธ์
19:01
and other creative people than in the general population.
404
1116000
3000
และคนอื่นๆ ที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์
มากกว่าในคนทั่วไป
มากกว่าในคนทั่วไป
19:04
Why would that be?
405
1119000
1000
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ?
19:05
I'm going to answer that question.
406
1120000
2000
ผมกำลังจะตอบคำถามนั้น
19:07
It's never been answered before.
407
1122000
2000
มันไม่เคยได้รับคำตอบมาก่อน
19:09
OK, what is synesthesia? What causes it?
408
1124000
1000
เอาล่ะ อะไรคือซินเนสทีเซีย ? อะไรเป็นสาเหตุ ?
19:10
Well, there are many theories.
409
1125000
1000
มีหลายทฤษฎีที่ใช้อธิบาย
19:11
One theory is they're just crazy.
410
1126000
2000
ทฤษฎีหนึ่งกล่าวว่า คนเหล่านี้ก็แค่เป็นบ้า
19:13
Now, that's not really a scientific theory, so we can forget about it.
411
1128000
3000
นั่นไม่ใช่ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์สักเท่าไหร่
เราลืมมันไปได้เลย
เราลืมมันไปได้เลย
19:16
Another theory is they are acid junkies and potheads, right?
412
1131000
4000
อีกทฤษฎีกล่าวว่า พวกนี้คือพวกติดยา พวกพี้กัญชา
19:20
Now, there may be some truth to this,
413
1135000
2000
บางทีอาจมีความจริงอยู่บ้าง
19:22
because it's much more common here in the Bay Area than in San Diego.
414
1137000
2000
เพราะมันพบบ่อยมากในย่าน เบย์ แอเรีย
มากกว่าในซานดิเอโก
มากกว่าในซานดิเอโก
19:24
(Laughter)
415
1139000
1000
(เสียงหัวเราะ)
19:25
OK. Now, the third theory is that --
416
1140000
3000
ทฤษฎีที่สาม กล่าวว่า --
19:28
well, let's ask ourselves what's really going on in synesthesia. All right?
417
1143000
5000
เอาล่ะ ลองถามตัวเราเองก่อนว่าเกิดอะไรขึน
เมื่อเกิดซินเนสทีเซีย ตกลงไหมครับ?
เมื่อเกิดซินเนสทีเซีย ตกลงไหมครับ?
19:33
So, we found that the color area and the number area
418
1148000
3000
เราพบว่า สมองส่วนประมวลสี และส่วนประมวลตัวเลขนั้น
19:36
are right next to each other in the brain, in the fusiform gyrus.
419
1151000
3000
อยู่ติดกันในสมอง ในฟิวซิฟอร์มไจรัส
19:39
So we said, there's some accidental cross wiring
420
1154000
2000
เราเชื่อว่า มันเกิดการเชื่อมโยงที่ผิดพลาด
19:41
between color and numbers in the brain.
421
1156000
3000
ข้ามกันไปมาระหว่างสีและตัวเลขในสมอง
19:44
So, every time you see a number, you see a corresponding color,
422
1159000
3000
ดังนั้น ทุกครั้งที่คุณเห็นตัวเลข
คุณจะเห็นสีที่สอดคล้องกันด้วย
คุณจะเห็นสีที่สอดคล้องกันด้วย
19:47
and that's why you get synesthesia.
423
1162000
2000
และนั่นทำให้คุณเป็นซินเนสทีเซีย
19:49
Now remember -- why does this happen?
424
1164000
2000
ทีนี้โปรดจำว่า -- ทำไมจึงเป็นเช่นนี้?
19:51
Why would there be crossed wires in some people?
425
1166000
2000
ทำไมถึงมีการเชื่อมโยงผิดพลาดในเฉพาะบางคน
19:53
Remember I said it runs in families?
426
1168000
2000
จำไว้ว่า ผมบอกว่ามันสืบทอดในตระกูล
19:55
That gives you the clue.
427
1170000
2000
นั่นเป็นคำบอกใบ้คุณ
19:57
And that is, there is an abnormal gene,
428
1172000
2000
ว่ามียีนผิดปกติอยู่ตัวหนึ่ง
19:59
a mutation in the gene that causes this abnormal cross wiring.
429
1174000
3000
ยีนตัวหนึ่งที่กลายพันธุ์และเป็นสาเหตุ
ของการเชื่อมโยงข้ามกันที่ผิดปกติ
ของการเชื่อมโยงข้ามกันที่ผิดปกติ
20:02
In all of us, it turns out
430
1177000
2000
ในพวกเราทุกคนนั้น
20:04
we are born with everything wired to everything else.
431
1179000
4000
ปรากฏว่าเราเกิดมาด้วยสภาพที่
ทุกอย่างเชื่อมโยงกับทุกอย่าง
ทุกอย่างเชื่อมโยงกับทุกอย่าง
20:08
So, every brain region is wired to every other region,
432
1183000
3000
ทุกส่วนในสมองเชื่อมโยงกับส่วนอื่นๆ ทุกส่วน
20:11
and these are trimmed down to create
433
1186000
2000
และมันจะค่อยๆ ถูกตัดออก
20:13
the characteristic modular architecture of the adult brain.
434
1188000
3000
เพื่อสร้างโครงสร้างของสมองผู้ใหญ่
20:16
So, if there's a gene causing this trimming
435
1191000
2000
ดังนั้น ถ้ามียีนตัวหนึ่งที่ทำหน้าที่ตัดการเชื่อมโยงนี้
20:18
and if that gene mutates,
436
1193000
2000
และถ้ายีนนั้นเกิดกลายพันธุ์
20:20
then you get deficient trimming between adjacent brain areas.
437
1195000
3000
ดังนั้นคุณจะได้การตัดการเชื่อมโยงที่ผิดพลาด
ระหว่างสองส่วนในสมอง
ระหว่างสองส่วนในสมอง
20:23
And if it's between number and color, you get number-color synesthesia.
438
1198000
3000
และถ้ามันเกิดขึ้นระหว่างตัวเลขและสี
คุณจะได้ซินเนสทีเซียประเภทสีและตัวเลข
คุณจะได้ซินเนสทีเซียประเภทสีและตัวเลข
20:26
If it's between tone and color, you get tone-color synesthesia.
439
1201000
3000
และถ้าเป็นระหว่างโทนเสียงและสี
คุณจะได้ซินเนสทีเซียประเภทเสียงและสี
คุณจะได้ซินเนสทีเซียประเภทเสียงและสี
20:29
So far, so good.
440
1204000
2000
ฟังดูดีใช่ไหมครับ
20:31
Now, what if this gene is expressed everywhere in the brain,
441
1206000
2000
ทีนี้ ถ้ายีนตัวนี้ทำงานทุกๆที่ในสมอง
20:33
so everything is cross-connected?
442
1208000
1000
ดังนั้นทุกอย่างในสมองจะถูกเชื่อมโยงข้ามกันหรือเปล่า?
20:34
Well, think about what artists, novelists and poets have in common,
443
1209000
6000
ลองนึกถึงสิ่งที่ศิลปิน นักประพันธ์
และกวีล้วนมีเหมือนกัน
และกวีล้วนมีเหมือนกัน
20:40
the ability to engage in metaphorical thinking,
444
1215000
3000
นั่นคือความสามารถในการคิดแบบอุปมาเปรียบเปรย
20:43
linking seemingly unrelated ideas,
445
1218000
2000
เชื่อมโยงแนวคิดที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวกันเลย
20:45
such as, "It is the east, and Juliet is the Sun."
446
1220000
3000
เช่น "นั่นคือทิศบูรพาและจูเลียตเป็นดั่งดวงอาทิตย์"
20:48
Well, you don't say, Juliet is the sun,
447
1223000
2000
คุณคงไม่พูดว่า จูเลียตเป็นดั่งดวงอาทิตย์
20:50
does that mean she's a glowing ball of fire?
448
1225000
2000
นั่นแปลว่า จูเลียตคือลูกไฟดวงใหญ่หรือเปล่า
20:52
I mean, schizophrenics do that, but it's a different story, right?
449
1227000
3000
คนเป็นโรคจิตเภทอาจเห็นแบบนั้น
แต่นั่นมันคนละเรื่องกันนะครับ
แต่นั่นมันคนละเรื่องกันนะครับ
20:55
Normal people say, she's warm like the sun,
450
1230000
3000
คนปกติจะบอกว่า เธอนั้นอบอุ่นเหมือนดวงอาทิตย์
20:58
she's radiant like the sun, she's nurturing like the sun.
451
1233000
2000
เธอเปล่งประกายเหมือนดวงอาทิตย์
เธออ่อนโยนเหมือนดวงอาทิตย์
เธออ่อนโยนเหมือนดวงอาทิตย์
21:00
Instantly, you've found the links.
452
1235000
2000
ในทันใดนั้น คุณมองเห็นความเชื่อมโยง
21:02
Now, if you assume that this greater cross wiring
453
1237000
3000
ทีนี้ ถ้าคุณสมมติว่ามีการเชื่อมโยงที่มากกว่านั้น
21:05
and concepts are also in different parts of the brain,
454
1240000
3000
และแนวคิดคือมันเกิดขึ้นกับส่วนอื่นๆของสมองด้วย
21:08
then it's going to create a greater propensity
455
1243000
3000
ทีนี้มันก็จะก่อให้เกิดแนวโน้มที่สูงขึ้น
21:11
towards metaphorical thinking and creativity
456
1246000
3000
ที่จะมีความคิดแบบอุปมาอุปมัย และความคิดสร้างสรรค์
21:14
in people with synesthesia.
457
1249000
2000
ในผู้คนที่เป็นซิเนสทีเซีย
21:16
And, hence, the eight times more common incidence of synesthesia
458
1251000
3000
และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่เราพบรายงาน
ผู้เป็นซิเนสทีเซียบ่อยเป็น 8 เท่า
ผู้เป็นซิเนสทีเซียบ่อยเป็น 8 เท่า
21:19
among poets, artists and novelists.
459
1254000
2000
ในกลุ่มกวี ศิลปิน และนักประพันธ์
21:21
OK, it's a very phrenological view of synesthesia.
460
1256000
3000
เอาหล่ะ นี่คือมุมมองของซินเนสทีเซีย
ในเชิงการทำนายจากลักษณะสมอง
ในเชิงการทำนายจากลักษณะสมอง
21:24
The last demonstration -- can I take one minute?
461
1259000
2000
การสาธิตสุดท้าย ผมขอสักนาทีนึงนะครับ
21:26
(Applause)
462
1261000
2000
(เสียงปรบมือ)
21:28
OK. I'm going to show you that you're all synesthetes, but you're in denial about it.
463
1263000
5000
ผมจะแสดงให้คุณดูว่าทุกคนเป็นซินเนสทีเซีย
แต่พวกคุณปฏิเสธมัน
แต่พวกคุณปฏิเสธมัน
21:33
Here's what I call Martian alphabet. Just like your alphabet,
464
1268000
4000
นี่คือสิ่งที่ผมเรียกว่าตัวอักษรภาษามนุษย์ดาวอังคาร
มันคล้ายๆกับตัวอักษรของคุณแหล่ะครับ
มันคล้ายๆกับตัวอักษรของคุณแหล่ะครับ
21:37
A is A, B is B, C is C.
465
1272000
3000
เอ คือ เอ บี คือ บี ซี คือ ซี
21:40
Different shapes for different phonemes, right?
466
1275000
3000
รูปร่างต่างกัน ก็ออกเสียงต่างกัน
21:43
Here, you've got Martian alphabet.
467
1278000
2000
ทีนี้ คุณมีตัวอักษรชาวดาวอังคาร
21:45
One of them is Kiki, one of them is Buba.
468
1280000
2000
ตัวหนึ่งชื่อ กิกี้ อีกตัวชื่อ บูบ้า
21:47
Which one is Kiki and which one is Buba?
469
1282000
2000
ตัวไหนชื่อ กิกี้ และตัวไหนชื่อ บูบ้าครับ
21:49
How many of you think that's Kiki and that's Buba? Raise your hands.
470
1284000
2000
มีใครบ้างคิดว่า นั่นคือ กิกี้ และนั้นคือ บูบ้า
ยกขึ้นมือครับ
ยกขึ้นมือครับ
21:51
Well, it's one or two mutants.
471
1286000
2000
เอาหล่ะ มีมนุษย์กลายพันธุ์อยู่คนสองคน
21:53
(Laughter)
472
1288000
1000
(เสียงหัวเราะ)
21:54
How many of you think that's Buba, that's Kiki? Raise your hands.
473
1289000
2000
มีใครบ้างคิดว่า นั่นคือ บูบ้า และนั้นคือ กิกี้
ยกมือขึ้นครับ
ยกมือขึ้นครับ
21:56
Ninety-nine percent of you.
474
1291000
2000
99% ของพวกคุณ
21:58
Now, none of you is a Martian. How did you do that?
475
1293000
2000
และไม่มีใครเป็นชาวดาวอังคาร แล้วคุณรู้ได้อย่างไร
22:00
It's because you're all doing a cross-model synesthetic abstraction,
476
1295000
5000
นั่นเป็นเพราะทุกคนกำลังทำ
การสรุปเชิงนามธรรมข้ามประสาทรับรู้
(cross-modal synesthetic abstraction)
การสรุปเชิงนามธรรมข้ามประสาทรับรู้
(cross-modal synesthetic abstraction)
22:05
meaning you're saying that that sharp inflection -- ki-ki,
477
1300000
4000
หมายถึงว่าคุณกำลังคิดว่า เสียงแหลมๆ กิ กิ้
22:09
in your auditory cortex, the hair cells being excited -- Kiki,
478
1304000
5000
ในประสาทหูของคุณ เหล่าเซลล์ขนก็ถูกกระตุ้น -- กิ กิ้
22:14
mimics the visual inflection, sudden inflection of that jagged shape.
479
1309000
3000
คล้ายกับภาพที่เห็น ภาพการหักมุมของภาพหยักๆ นั้น
22:17
Now, this is very important, because what it's telling you
480
1312000
3000
นี่สำคัญมาก เพราะมันกำลังบอกคุณว่า
22:20
is your brain is engaging in a primitive --
481
1315000
2000
สมองคุณกำลังใช้วิธีคิดแบบเก่าแก่
22:22
it's just -- it looks like a silly illusion,
482
1317000
2000
มันแค่ มันเหมือนภาพลวงตาโง่ๆ
22:24
but these photons in your eye are doing this shape,
483
1319000
4000
แต่โฟตอนในตาคุณสร้างภาพแบบนี้
22:28
and hair cells in your ear are exciting the auditory pattern,
484
1323000
3000
และเซลล์ขนในหูคุณถูกกระตุ้นด้วยรูปแบบของเสียง
22:31
but the brain is able to extract the common denominator.
485
1326000
5000
แต่สมองสามารถเพียงแค่ดึงเอาสิ่งที่โดดเด่นที่เหมือนกัน
22:36
It's a primitive form of abstraction,
486
1331000
2000
มันคือรูปแบบเก่าแก่ของการสรุปแบบนามธรรม
22:38
and we now know this happens in the fusiform gyrus of the brain,
487
1333000
5000
ตอนนี้เรารู้แล้วว่ามันเกิดขึ้นในส่วน
ฟิวซิฟอร์ม ไจรัสของสมอง
ฟิวซิฟอร์ม ไจรัสของสมอง
22:43
because when that's damaged,
488
1338000
1000
เพราะเมื่อมันถูกทำลาย
22:44
these people lose the ability to engage in Buba Kiki,
489
1339000
4000
คนเหล่านั้นจะเสียความสามารถ
ในการคิดเรื่อง บูบ้า กิกิ้
ในการคิดเรื่อง บูบ้า กิกิ้
22:48
but they also lose the ability to engage in metaphor.
490
1343000
2000
แถมยังเสียความสามารถในการคิดอุปมาเปรียบเปรย
22:50
If you ask this guy, what -- "all that glitters is not gold,"
491
1345000
4000
ถ้าคุณถาม "ทุกอย่างที่เป็นประกาย ไม่ใช่ทองเสมอไป"
[สำนวน: ทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างทีเห็น]
[สำนวน: ทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างทีเห็น]
22:54
what does that mean?"
492
1349000
2000
มันแปลว่าอะไร ?
22:56
The patient says, "Well, if it's metallic and shiny, it doesn't mean it's gold.
493
1351000
2000
คนไข้จะบอกว่า "ถ้ามันเป็นโลหะและสะท้อนแสงได้
มันไม่ได้แปลว่าจะต้องเป็นทอง
มันไม่ได้แปลว่าจะต้องเป็นทอง
22:58
You have to measure its specific gravity, OK?"
494
1353000
3000
คุณจะต้องวัดความถ่วงจำเพาะด้วย รู้ไหม"
23:01
So, they completely miss the metaphorical meaning.
495
1356000
3000
พวกเขาหลงประเด็นเรื่องความหมายเชิงอุปมา
23:04
So, this area is about eight times the size in higher --
496
1359000
3000
สมองส่วนนี้ใหญ่เป็นแปดเท่าในสัตว์ตระกูลลิงชั้นสูง
23:07
especially in humans -- as in lower primates.
497
1362000
3000
โดยเฉพาะในมนุษย์
เมื่อเทียบกับสัตว์ตระกูลลิงชั้นล่างๆ
เมื่อเทียบกับสัตว์ตระกูลลิงชั้นล่างๆ
23:10
Something very interesting is going on here in the angular gyrus,
498
1365000
3000
บางสิ่งที่น่าสนใจมากกำลังเกิดขึ้นใน
แองกูลาร์ไจรัส (angular gyrus)
แองกูลาร์ไจรัส (angular gyrus)
23:13
because it's the crossroads between hearing, vision and touch,
499
1368000
3000
เพราะมันคือถนนข้ามแดนระหว่างการได้ยิน
การมองเห็น และสัมผัส
การมองเห็น และสัมผัส
23:16
and it became enormous in humans. And something very interesting is going on.
500
1371000
4000
มันใหญ่มหึมาในมนุษย์ และบางสิ่งที่น่าสนใจก็เกิดขึ้น
23:20
And I think it's a basis of many uniquely human abilities
501
1375000
3000
และผมคิดว่า มันเป็นพื้นฐาน
ของความสามารถพิเศษในมนุษย์
ของความสามารถพิเศษในมนุษย์
23:23
like abstraction, metaphor and creativity.
502
1378000
3000
เช่น คิดเชิงนามธรรม การอุปมาเปรียบเทียบ
และความคิดสร้างสรรค์
และความคิดสร้างสรรค์
23:26
All of these questions that philosophers have been studying for millennia,
503
1381000
3000
คำถามหลากหลายที่เหล่านักปราชญ์
ได้ศึกษามาเป็นพันปี
ได้ศึกษามาเป็นพันปี
23:29
we scientists can begin to explore by doing brain imaging,
504
1384000
4000
พวกเรานักวิทยาศสาสตร์
สามารถเริ่มค้นคว้าโดยการใช้ภาพถ่ายสมอง
สามารถเริ่มค้นคว้าโดยการใช้ภาพถ่ายสมอง
23:33
and by studying patients and asking the right questions.
505
1388000
2000
โดยการศึกษาคนไข้ และถามคำถามที่ถูก
23:35
Thank you.
506
1390000
2000
ขอบคุณครับ
23:37
(Applause)
507
1392000
1000
(เสียงปรบมือ)
23:38
Sorry about that.
508
1393000
1000
ขอโทษด้วยครับ
23:39
(Laughter)
509
1394000
1000
(เสียงหัวเราะ)
ABOUT THE SPEAKER
Vilayanur Ramachandran - Brain expertNeurologist V.S. Ramachandran looks deep into the brain’s most basic mechanisms. By working with those who have very specific mental disabilities caused by brain injury or stroke, he can map functions of the mind to physical structures of the brain.
Why you should listen
V.S. Ramachandran is a mesmerizing speaker, able to concretely and simply describe the most complicated inner workings of the brain. His investigations into phantom limb pain, synesthesia and other brain disorders allow him to explore (and begin to answer) the most basic philosophical questions about the nature of self and human consciousness.
Ramachandran is the director of the Center for Brain and Cognition at the University of California, San Diego, and an adjunct professor at the Salk Institute. He is the author of Phantoms in the Brain (the basis for a Nova special), A Brief Tour of Human Consciousness and The Man with the Phantom Twin: Adventures in the Neuroscience of the Human Brain.
Vilayanur Ramachandran | Speaker | TED.com